วันพุธที่ 20 กันยายน พ.ศ. 2560

กล้วยไม้สกุลหวาย


กล้วยไม้สกุลหวาย


การปลูกเลี้ยงหวาย


หวาย(Dendrobium spp.) ถือว่าเป็นกล้วยไม้ที่เลี้ยงในประเทศไทยได้ง่ายที่สุด เพราะสภาพอากาศบ้านเราเหมาะสมอย่างยิ่งที่จะเลี้ยง อีกทั้งยังให้ดอกง่ายทุกฤดุกาล จึงเป็นสายพันธุ์ที่มีการนำมาตัดดอกจำหน่ายส่งไปทั่วโลก การปลูกเลี้ยงก็มีหลายวิธีทั้งการปลูกลงกระบะกาบมะพร้าวอัด ปลูกลงกระถางโดยใช้กาบมะพร้าวหรือถ่าน ในส่วนกระถางสามารถใช้ได้ทั้งกระถางพลาสติคและกระถางดินเผา เนื่องจากเป็นสายพันธุ์ที่เหมาะกับประเทศไทยจึงมีการพัฒนาสายพันธุ์ลูกผสม(Hybrid)ขึ้นมามากมายหลายสีสัน ในปัจจุบันได้มีการปลูกเพื่อขายทั้งกระถาง(Potplant)เพื่อจะนำไปประดับตกแต่งสถานที่ต่างๆ เช่นโรงแรม ห้องประชุม โรงพยาบาล สำนักงาน เนื่องจากมีราคาถูก ออกดอกง่าย ดูแลง่าย





กล้วยไม้หวาย เป็นกล้วยไม้ที่สกุลใหญ่ที่สุด มีแหล่งกำเนิดในเขตร้อนของภูมิภาคเอเชีย และมหาสมุทรแปซิฟิค มีระบบรากกึ่งอากาศและมีการเจริญเติบโตแบบแตกกอ(Sympodial) มีการเจริญเติบโตดีกว่ากล้วยไม้ประเภทอื่นๆแตกหน่อ2-3หน่อต่อปี โดยปกติจะเกิดหนึ่งหน่อต่อหนึ่งลำ แต่ถ้าเลี้ยงดีอาจให้สองหน่อต่อหนึ่งลำได้ ลำๆหนึ่งใช้เวลาประมาณ3-6เดือนก็จะเจริญสุดลำ เมื่อกล้วยไม้เจริญสุดลำก็จะให้ดอก1-5ช่อจากตาที่ปลายลำและตาข้อที่ถัดลงมา ซึ่งแต่ละลำสามารถให้ช่อได้ประมาณ5-15ช่อแล้วแต่สายพันธุ์และความสมบูรณ์ของต้น





หวายแคระ
การรดน้ำ ปกติรดน้ำในช่วงเช้าวันละ1ครั้ง แต่ถ้าในฤดูร้อนที่มีอากาศร้อนจัดอาจให้ตอนเย็นเพิ่มอีกครั้ง แต่ควรสังเกตุให้แห้งก่อนค่ำ เพราะถ้ารดน้ำมากไปอาจทำให้เกิดโรคขึ้นได้
การให้ปุ๋ย ในฤดูร้อนควรให้ปุ๋ยสูตรเสมอ 21-21-21,18-18-18 เพราะกล้วยไม้ต้องการไนโตรเจน แต่ในฤดูฝนควรใส่ปุ๋ยที่มีโพแทสเซียมสูงสลับกับฟอสฟอรัสสูงสลับกัน เพราะในน้ำฝนมีธาตุไนโตรเจนเจือปนมาอยู่แล้ว ถ้ายังให้ปุ๋ยสูตรเสมออยู่จะทำให้กล้วยไม้ต่อยอด ออกดอกยาก ปลายยอดบิดเบี้ยวเสียรูปทรง
ยาฆ่าเชื้อราและยาฆ่าแมลง ควรให้ทุกอาทิตย์ สำหรับท่านที่ปลูกเลี้ยงไว้ดูเล่นภายในบ้านอาจเปลี่ยนมาใช้พวกสารชีวภาพเพื่อสุขภาพของคนในครอบครัว เช่นยาฆ่าแมลงก็ใช้น้ำส้มควันไม้ อ่านต่อ

กล้วยไม้ป่าสำหรับมือใหม่หัดเลี้ยง

กล้วยไม้ป่าสำหรับมือใหม่หัดเลี้ยง



เมื่อย่างเข้าสู่ฤดูหนาวแบบนี้ อีกไม่นานก็จะเป็นช่วงเวลาบานสะพรั่งของกล้วยไม้ป่านานาชนิด แต่กล้วยไม้ป่าที่มีกำหนดบานในช่วงหน้าหนาวแบบนี้ก็มีนะคะ ก็กล้วยไม้สกุลช้างทั้งหลายไงคะที่ทยอยบานส่งกลิ่นหอมฟุ้งไปทั้งสวน แต่ทันทีที่เข้าสู่ช่วงฤดูร้อน สีสันความตระการตาของกล้วยไม้ป่า ทั้งสีเหลืองของเอื้องผึ้ง เอื้องคำ แววมยุรา เหลืองจันทบูร สีม่วงของเอื้องสายหลวง เอื้องสายน้ำครั่ง สีชมพูอมม่วงของเอื้องสายไหม เอื้องสายน้ำผึ้ง สีสันและความหอมที่เป็นแบบฉบับของกล้วยไม้ป่าแต่ละต้นจะแย่งกันประกาศตัวกันเต็มที่ในฤดูร้อนนี่เองล่ะค่ะ
แต่ก่อนที่มือใหม่จะเลือกซื้อกลับมาเลี้ยงกัน สิ่งหนึ่งที่ควรจะต้องทราบก่อนการเลือกซื้อกลับมาก็คือ คุณควรจะรู้จักธรรมชาติของกล้วยไม้ป่าที่คุณชอบในรูปลักษณ์และสีสันก่อนว่าเค้าพอจะอยู่ในพื้นที่บ้านของคุณได้รึเปล่า เช่น ถ้าคุณชอบฟอร์มต้นของเอื้องคำ แต่บ้านคุณไม่มีพื้นที่รับแดดเช้าให้เจ้าเอื้องคำเลยแม้แต่น้อย ถ้าอย่างนั้น การที่เค้าจะออกดอกให้คุณอีกครั้งในฤดูร้อนปีถัดไปก็คงเป็นไปได้ยาก อ่านต่อ


กล้วยไม้ดิน Spathoglottis

กล้วยไม้ดิน Spathoglottis

ลักษณะนิสัยของกล้วยไม้ดินสกุล Spathoglottis
1)สามารถเจริญเติบโตได้ดีในสภาพที่มีแสงตลอดวันไปจนถึงร่มแต่จะดีที่สุดเมื่อมีการพรางแสง๓๐-๗๐ %
2)อุณภูมิที่เหมาะสม อยู่ระหว่าง ๑๕-๒๕ องศาเซลเซียส ถ้าอุณภูมิต่ำมากจะทิ้งใบและพักตัว
3)ชอบวัสดุปลูกระบายน้ำได้ดี เก็บความชื้นได้พอสมควร มีธาตุอาหารอุดมสมบูรณ์
4)ชอบที่โปร่งอากาศถ่ายเทและไม่มีลมโกรกมากนัก
5)ปุ๋ยหมัก ปุ๋ยคอกและปุ๋ยละลายช้าเหมาะสมที่สุด การใช้ปุ๋ยวิทยาศาสตร์มาก จะทำให้ใบไหม้และลำต้นเน่าได้
๏ วัสดุปลูก
วัสดุปลูกของกล้วยไม้สกุลนี้ สามารถผสมใช้ได้หลายอย่าง ไม่มีสูตรตายตัวแต่ควรมีหลักคำนึง ดังนี้
1) มีความโปร่ง เพื่อให้ระบายน้ำได้ดี และอากาศถ่ายเทสะดวก
2) ปราศจากโรคและแมลง
3) หาง่ายราคาถูกมีมากในท้องถิ่น
4) ไม่เป็นพิษกับต้นไม้
5) มีแร่ธาตุอาหารตามสมควร
6) ควรเป็นวัสดุเก่า ผ่านการย่อยสลายมาบ้างแล้ว
สำรับวัสดุที่จะนำมาผสมเป็นเครื่องปลูกนั้นมีหลายชนิด เช่น กาบมะพร้าวสับ,ใบก้ามปู, ใบสน,เปลือกถั่วลิสง, แกลบ, ถ่าน, อิฐ, ขี้เถ้าแกลบ, ดิน, ทรายหยาบ, ปุ๋ยหมัก, ปุ๋ยคอก ฯลฯ
การขยายพันธุ์
การขยายพันธ์โดยการแยกหน่อเป็นวิธีการที่ง่ายและสะดวกที่สุดช่วงเวลาที่ เหมาะสม ก็คือ ฤดูฝน ตั้งแต่เดือนเมษายน-กันยายน สำรบช่วงฤดูหนาวไม่นิยมทำกันเพราะกล้วยไม้จะทิ้งใบ มีโอกาสตายสูงมาก เนื่องจากกำลังพักตัววิธีการแยกหน่อ
เริ่มจากการนำกล้วยไม้ออกกระถาง เขย่าเบาๆ ให้วัสดุปลูกร่วงหล่นให้มากที่สุด จากนั้นให้ พิจารณาดูลักษณะการแตกหน่อ ของแต่ละลำ ใช้มีดหรือกรรไกร ตัดแยกโดยให้มีหน่อใหม่และลำเก่าติดมาด้วย ๑-๒ ลำจะทำให้ต้นที่แยกออกมาเจริญเติบโตและตั้งตัวได้เร็วขึ้น นำหน่อที่แยกไว้มาลงปลูกให้วัสดุปลูกที่เตรียมไว้เสร็จแล้วรดน้ำ ผสมฮอร์โมน เร่งรากแล้วรดตามด้วยยาฆ่าเชื้อรา
การขยายพันธุ์โดยการเพาะเมล็ด
กล้วยไม้ดินนี้เป็นดอกสมบูรณ์เพศคือมีเกสรตัวและเกสรตัวเมียในดอกเดียวกันใน ธรรมชาติการผสมเกสรเกิดขึ้นจากแมลง การผสมเกสรอาจเป็นการผสมตัวเอง หรือข้ามพันธุ์ก็ได้ หลังการผสมพันธุ์ ดอกจะพัฒนาเป็นฝัก อายุของฝักไม่แน่นอน ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับฤดูกาล และการดูแลรักษา และชนิดพันธุ์ โดยเฉลี่ยอายุฝักจะอยู่ที่ ๓๐-๖๐ วัน เมื่อฝักแก่ตัวฝักจะแตกออก ภายในจะมีเมล็ดเป็นผงขนาดเล็กอยู่เป็นจำนวนมาก วิธีการเพาะที่ง่ายที่สุดคือ การโรยเมล็ดลง ในกระถางต้นแม่พันธุ์ แต่การเหลือรอดมีน้อย อีกวิธีหนึ่งคือการเพาะลงบนอาหารวุ้นในห้องปฏิบัติการที่มีเครื่องมือที่ทัน สมัย สะดวกที่สุดคือการตัดฝักส่งให้หน่วยงานที่มีห้องปฏิบัติการรับจ้างเพาะโดย ทั่วไปจะใช้เวลาในการเพาะจนเป็นต้นกล้าในขวดวุ้นประมาณ ๗-๑๐ เดือน ก็สามารถนำกล้วยไม้ขวดออกอนุบาลได้ อ่านต่อ

วันพุธที่ 13 กันยายน พ.ศ. 2560

สิงโตนกเหยี่ยวใหญ่



สิงโตนกเหยี่ยวใหญ่


ชื่อวิทยาศาสตร์: Bulbophyllum fascinator (Rolfe) Rolfe
วงศ์: Orchidaceae

ประเภท: กล้วยไม้อิงอาศัย เจริญเติบโตทางด้านข้าง มีเหง้าเล็กๆ ทอดเลื้อย
ลำต้นลำลูกกล้วยรูปไข่ ขนาด 2.5 เซนติเมตร


ใบใบรูปขอบขนานแกมรูปรี มีใบเดียว กว้าง 2 เซนติเมตร ยาว 10 – 13 เซนติเมตร ปลายใบโค้งลงเล็กน้อย

ดอกดอกเดี่ยวออกตามข้อ ดอกกว้าง 1 เซนติเมตร ยาว 15 – 20 เซนติเมตร กลีบเลี้ยงและกลีบดอกสีเขียวอ่อน มีจุดประสีแดงหนาแน่น ขอบกลีบเลี้ยงด้านบนและกลีบดอกคู่บนมีขนปกคลุม กลีบเลี้ยงคู่ล่างเชื่อมติดกันม้วนเป็นหลอดคล้ายจะงอย ออกดอกเดือนสิงหาคม – ตุลาคม อ่านต่อ

สิงโตอนันดา

สิงโตอนันดา




ชื่อวิทยาศาสตร์: Bulbophyllum annandalei Ridl.

วงศ์: Orchidaceae
ประเภท: กล้วยไม้อิงอาศัย เจริญเติบโตทางด้านข้าง มีเหง้าเล็กๆ ทอดเลื้อย
ลำต้นลำลูกกล้วยรูปไข่ เส้นผ่านศูนย์กลางประมาณ 1.5 เซนติเมตร ยาว 2.5 – 3 เซนติเมตร ผิวด้านนอกโป่งนูนเป็นสัน 4 – 5 สัน

ใบใบรูปขอบขนานแกมรูปรี กว้าง 2.5 – 3 เซนติเมตร ยาว 12 – 15 เซนติเมตร แผ่นใบหนา สีเขียวเข้ม ปลายใบมนถึงแหลม

ดอกช่อดอกออกจากโคนลำลูกกล้วย แต่ละช่อมี 4 – 5 ดอก ดอกกว้าง 1 – 1.5 เซนติเมตร ยาว 2.5 – 3 เซนติเมตร กลีบเลี้ยงและกลีบดอกสีเหลืองอ่อน และมีจุดประสีแดงเรื่อเรียงเป็นแถวตามแนวยาวของกลีบ ปลายกลีบดอกมีแต้มสีส้มเรื่อๆ กลีบเลี้ยงบนงุ้มลงและมีขนยาวเป็นครุยตามขอบกลีบ กลีบเลี้ยงคู่ข้างรูปขอบขนานและบิดม้วนเข้าหาดอก กลีบปากยาวเป็นจะงอย โคนกลีบปากมีจุดประสีแดงหนาแน่น ออกดอกเดือนธันวาคม – กุมภาพันธ์ อ่านต่อ


กล้วยไม้ช้างกระ (Rhynchostylis gigantea)

ชื่อวิทยาศาสตร์ : Rhynchostylis gigantea Rhynchostylis (ริง-โค-สไตล์-ลิส) 
มีความหมายแยกตามคำได้ดังนี้ Rhyncho หมายถึง จงอย และ Stylis หมายถึง เส้าเกสร 
เมื่อนำสองคำมารวมกันจะหมายถึง กล้วยไม้ชนิดที่มีเส้าเกสรคล้ายดั่งจงอยปากนก นั่นเอง

คำว่า gigantea หมายถึง ใหญ่มาก รวมกับความหมายของ ริงโค เข้าไปได้ความหมายใหม่ว่า
กล้วยไม้ที่มีจงอยปากเหมือนนกที่ใหญ่มาก นั่นเอง 

"ช้างกระ" กล้วยไม้ป่าที่มีดอกสวยและหอม จะเริ่มหอมตอนสาย ๆ และจะหอมตลบอบอวลในตอนใกล้ ๆ เที่ยง 
แต่ดอกจะบานอยู่ราว 2-3 อาทิตย์ ก็โรยแล้ว ชาวบ้านเรียกกล้วยไม้ช้างกระเป็นภาษาพื้นเมืองว่า "เอื้องต๊กโต" 

กล้วยไม้สกุล "ช้าง" ที่พบกันอยู่ทั่วไปตามธรรมชาติ มี 4 ชนิด
1. ช้างกระ (Rhynchostylist gigantea )


2. ไอยเรศ หรือ พวงมาลัย ( Rhynchostylis retusa (L.) Blume)
เอื้องไอยเรศมีชื่อพื้นเมืองหลายอย่าง ไอยเรศ, เอื้องพวงหางรอก, เอื้องหางฮอก


เอื้องไอยเรศ เป็น
กล้วยไม้ ในประเทศไทยมี ชื่อวิทยาศาสตร์ ว่า Rhynchostylis retusa (L.) Blume
มีลักษณะลำต้นใหญ่แข็งแรงคล้ายกล้วยไม้ช้าง แต่ใบยาวกว่าและแคบกว่า ใบยาวประมาณ 40 เซนติเมตร
กว้างประมาณ 4 เซนติเมตร มีทางสีเขียวแก่สลับกับสีเขียวอ่อนตามความยาวของใบคล้ายกล้วยไม้ช้าง
ปลายใบมีลักษณะเป็นฟันแหลมไม่เท่ากัน

ช่อดอกเป็นรูปทรงกระบอก โค้งห้อยลง ยาวประมาณ 30-50 เซนติเมตร ก้านช่อยาวประมาณ 7-10 เซนติเมตร
มีดอกแน่นช่อ ในหนึ่งช่อมีดอกประมาณ 150 ดอก มากกว่ากล้วยไม้ช้าง รูปร่างลักษณะของช่อดอกที่ยาวเป็น
รูปทรงกระบอกคล้ายกับลักษณะของพวงมาลัย จึงเรียกอีกชื่อหนึ่งว่า "พวงมาลัย" ต้นใหญ่ ๆ มักจะแตกหน่อ
ที่โคนต้น เกิดเป็นกอใหญ่ขึ้นได้ ดอกมีขนาดประมาณ 1.2-1.5 เซนติเมตร สีพื้นของกลีบนอกและกลีบใน
ของดอกเป็นสีขาว มีจุดสีม่วงประปราย เดือยดอกมีสีม่วงอ่อน แผ่นปากมีลักษณะโค้งขึ้นบนแล้วยื่นไป
ข้างหน้า มีแต้มสีม่วงตรงกลางแผ่นปาก ส่วนโคนและปลายสุดแผ่นปากเป็นสีขาว ปลายแผ่นปากเว้า เส้าเกสร
เห็นชัด ดอกจะบานอยู่ได้ประมาณ 2 สัปดาห์

ฤดูกาลออกดอกอยู่ในเดือนเมษายนถึงพฤษภาคม พบได้ในทุกภาคของประเทศไทย

3. เขาแกะ (Rhynchostylis coelestis)
เขาแกะ หรือชื่อพื้นเมืองอื่น เอื้องเขาแกะ, เขาควาย, เอื้องขี้หมา
เป็นกล้วยไม้ชนิดหนึ่ง มีถิ่นกำเนิดในอินโดจีน

ลักษณะทางพฤกษศาสตร์

ใบมีลักษณะแบนคล้าย แวนด้า ยาวประมาณ 15 เซนติเมตร และบางกว่า กล้วยไม้ ชนิดอื่นในสกุลเดียวกัน
โคนใบซ้อนกันเป็นแผง ใบโค้งสลับกันในทางตรงกันข้าม ด้วยลักษณะนี้เองจึงได้ชื่อว่า "เขาแกะ"

ช่อดอกเป็นรูปทรงกระบอก มีลักษณะช่อดอกตั้งขึ้น ก้านช่อมักสั้นกว่าแกนช่อ มีดอกแน่นช่อ ดอกมีขนาด
ประมาณ 2 เซนติเมตร กลีบเลี้ยงบนรูปรี แกมรูปไข่กลับ กลีบเลี้ยงคู่ข้างรูปไข่กลับ กลีบดอกรูปขอบขนาน
แกมรูปไข่ ทั้งห้ากลีบสีขาว ปลายกลีบมนและขอบเป็นสีม่วงจาง กลีบปากรูปลิ่ม สีขาวอมม่วงจนถึงสีม่วงเข้ม
ปลายกลีบมนและมีสีเข้มกว่าโคน กลีบมีเดือยดอกที่แบนและส่วนปลายโค้งงอ เส้าเกสรสั้น
สีขาว ช่วงออกดอกไม่ทิ้งใบ

เขาแกะบางต้นอาจมีสีต่างออกไป เช่น มีสีม่วงมากจนเกือบแดง เรียกว่า “เขาแกะแดง" บางต้นมีสีไปทาง
สีฟ้าหรือสีน้ำเงิน บางต้นดอกมีสีขาวบริสุทธิ์ เรียกว่า "เขาแกะเผือก" ซึ่งค่อนข้างหาได้ยาก เดือยดอกยาว
กว่าและแคบกว่าของไอยเรศ ปลายของเดือยดอกโค้งลง ดอกบานทนประมาณสองสัปดาห์




4. ช้างฟิลิปปินส์ (Rhynchostylis violacea)


ไม่มีถิ่นกำเนิดในไทย เป็นกล้วยไม้ที่มีรูปทรงของต้นและใบคล้ายกับช้างไทย ช่อดอกโค้งแบบช้าง
ความแตกต่างอยู่ที่ช้างของไทยที่ปากจะมีสัน (keel) เพียง 2 สัน แต่ช้างฟิลิปปินส์มี 5 สัน

ความงามของช้างกระอยู่ที่ฟอร์มของต้นและช่อดอก ช่อดอกที่งามมาก ๆ คือช่อดอกที่ยาวและยื่นออกมา
ด้านหน้าของต้นเหมือนงาช้าง วิธีการให้ดอกออกมาด้านหน้าคือ เมื่อช้างกระแทงช่อดอกได้ประมาณ
2-3 นิ้ว ก็ให้หันลำต้นของช้างกระให้ขวางกับแสงอาทิตย์ ช่อดอกของช้างกระจะหันเข้าหาแสงอาทิตย์
ไม่ยาวไปตามความยาวของใบ ก็จะได้ช่อดอกที่ยื่นออกมาข้างหน้าเหมือนงาช้าง นอกจากนี้คนยังนิยมดู
ที่กระบนกลีบดอก เพราะช้างกระแต่ละต้นมีกระที่กลีบดอกแตกต่างกัน แต่ละต้นจะมีเสน่ห์ต่างกันไปอ่านต่อ